คนญี่ปุ่นนิยมกินทาราโกะดิบ ๆ กับข้าวสวย วิธีการก็คือหั่นทาราโกะให้เป็นชิ้นเล็กหน่อย แล้วกินเป็นกับข้าว ไม่ต้องปรุง ไม่ต้องใส่ซีอิ้ว หรือเอาไปย่างให้สุกแล้วใส่โอนิกิริ ส่วนต๊ะชอบเอาไปใส่ โนริมากิ หรือทำสปาเก็ตตี้ทาราโกะ เพราะมันทั้งง่ายทั้งอร่อย วันนี้ต๊ะทำสปาเก็ตตี้ทาราโกะซอสสีชมพูอ่อนสวย (แต่ถ่ายรูปออกมาได้เท่านี้เอง)
ทาราโกะ (Tarako) เป็นไข่ปลาค็อตชนิดหนึ่งที่นิยมกินกันในญี่ปุ่น ในซุปเปอร์มาเก็ตที่โตเกียวมีไข่ปลาค็อตให้เลือกซื้อกันมากมายหลายขนาด หลากสีสัน มีทั้งสีส้ม สีชมพู แตกต่างกันไปตามที่มา (หรือสีที่ใส่ลงไป) แน่นอนว่าทาราโกะที่แพงที่สุดนั้นต้องมาจากปลาที่จับได้ในทะเลญี่ปุ่น แตจะรสชาติดี่ที่สุดรึเปล่านั้นต๊ะไม่แน่ใจ เพราะไม่เคยซื้อพร้อมๆ กันแล้วมานั่งชิมเทียบดูสักที
ทาราโกะ (Tarako) เป็นไข่ปลาค็อตชนิดหนึ่งที่นิยมกินกันในญี่ปุ่น ในซุปเปอร์มาเก็ตที่โตเกียวมีไข่ปลาค็อตให้เลือกซื้อกันมากมายหลายขนาด หลากสีสัน มีทั้งสีส้ม สีชมพู แตกต่างกันไปตามที่มา (หรือสีที่ใส่ลงไป) แน่นอนว่าทาราโกะที่แพงที่สุดนั้นต้องมาจากปลาที่จับได้ในทะเลญี่ปุ่น แตจะรสชาติดี่ที่สุดรึเปล่านั้นต๊ะไม่แน่ใจ เพราะไม่เคยซื้อพร้อมๆ กันแล้วมานั่งชิมเทียบดูสักที
เอาล่ะค่ะตามมาดูสูตรสปาเก็ตตี้ทาราโกะที่ต๊ะทำกินกับซาดาโอะ และโคชิดีกว่า อร่อยน้า
ส่วนผสม
นํ้ามันมะกอก (Pure Olive Oil) 25 มล.
เส้นสปาเก็ตตี้ 120 กรัม
นํ้ามันมะกอก (Pure Olive Oil) 25 มล.
เส้นสปาเก็ตตี้ 120 กรัม
ไข่ปลาทาราโกะ 1/4 ถ้วย
เนย 1 ช้อนโต๊ะ
สาหร่ายอบแห้งหั่นฝอย (Kizami nori)
ชิโสะหั่นฝอย 3 ใบ
เกลือ และพริกไทยดำบดเล็กน้อย
1. ต้มนํ้าให้เดือดพล่าน ใส่เกลือลงไปนิดหน่อย ใส่เส้นสปาเก็ตตี้ลงไป ลงไฟลงพอให้นํ้าเดือดปุดๆ ต้มไปจนสุก ชงเส้นขึ้นพักไว้
2. ลอกเยื่อหุ้มไข่ปลาออก ยีไข่ปลานิดหน่อยแล้วผสมกับนํ้ามันมะกอกให้เข้ากัน
3. ตั้งกระทะไฟอ่อน ใส่เนยลงไป พอเนยละลายใส่เส้นลงไปคลุก ปิดไฟ แล้วใส่ไข่ปลาที่เตรียมไว้ คลุกให้เข้ากัน ตามด้วยเกลือ พริกไทย โรยหน้าด้วยสาหร่ายและชิโสะ เสิร์ฟได้ค่ะ
ลองทำกันดูนะคะ
และแล้วฤดูใบไม้ผลิก็เดินทางมาถึงพร้อมๆ กับปลาซัมมะ เจ้าของฉายา “ปลาดาบแห่งฤดูใบไม้ผลิ” ช่วงนี้ตามตลาดและร้านขายปลา ซุปเปอร์มาเก็ตในโตเกียว จะเริ่มขนซัมมะออกมาขายอย่างเป็นลํ่าเป็นสัน มีขายกันทั้งแบบสด แบบย่างเกลือ แบบย่างซีอิ้ว สำหรับคนโสดไม่มีห้องครัว และสำหรับคนมีห้องครัวแต่ขี้เกียจ
ซัมมะเป็นปลาทะเล ไม่มีเกล็ด ลำตัวสีเงินแกมเขียว หรือนํ้าเงิน ตัวยาว แต่ไม่หนา เป็นปลาที่ว่ายนํ้าเร็ว จึงมีเนื้อแน่น และไขมันกระจายอยู่ทั่วตัว ในญี่ปุ่นการกินปลาซัมมะในช่วงฤดูใบไม้ผลินั้นเป็นที่นิยมมาก เพราะเป็นช่วงที่ปลาจะสะสมไขมันไว้เพื่อใช้ในฤดูหนาว ปลาซัมมะช่วงนี้เนิ้อจะมันและอวบอ้วน อร่อยน่ากินเป็นที่สุด
ที่เมกุโระ (เขตหนึ่งในโตเกียว) จะมีงานเทศกาลปลาซัมมะทุกปี นอกจากจะร้องเพลงเต้นรำกันเป็นที่สนุกสนานแล้ว ในงานจะมีการแจกปลาซันมะย่างเกลือร้อนๆ จำนวนถึง 6,000 ตัว ให้กับผู้ร่วมงาน ส่วนสาเหตุที่ต้องจัดที่เมกุโระนั้นว่ากันว่ามีที่มาจากเรื่องเล่าใน**ราคุโกะ (Rakugo) เกี่ยวกับปลาซันมะที่แสนอร่อยแห่งเมกุุโระ เรื่องมีอยู่ว่ามีลูกชายคหบดีผู้มั่งคั่งแห่งยุคเอโดะ ได้เดินทางท่องเที่ยวไปที่เมกุโระ และได้มีโอกาสชิมปลาซัมมะย่าง ด้วยความที่เขาไม่เคยเห็นไม่เคยกินปลาซัมมะมาก่อน (เพราะเคยกินแต่ปลาราคาแพง) จึงติดอกติดใจในรสชาติปลาซัมมะเป็นอย่างมาก และทึกทักเอาว่าปลาซันมะที่แสนอร่อยนั้นต้องมาจากเมกุโระเท่านั้นทั้งๆที่เมกุโระไม่ได้อยู่ติดทะเล
** ราคุโกะ (Rakugo) เป็นการแสดงพื้นบ้านอย่างหนีงของญี่ปุ่น ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงปลายศตวรรษที่ 16 เป็นศิลปะการแสดงทอล์คโชว์แบบพูดคนเดียว โดยผู้แสดงจะทำให้ผู้ชมหัวเราะโดยการเล่าเรื่องขบขัน
เอาล่ะค่ะฟังเรื่องสนุกๆ ของปลาซัมมะไปแล้ว ตามมาดูสูตรปลาซันมะย่างเกลือที่ต๊ะทำกินกับซาดาโอะและโคชิดีกว่า.....อร่อยน้า
ส่วนผสม สำหรับ 2 ที่ 30 นาที
ปลาซัมมะ 2 ตัว
สาเก 2 ช้อนโต๊ะ
เกลือ
คนญี่ปุ่นนิยมย่างปลาซัมมะโดยไม่ต้องควักไส้ และเครื่องในออก เครื่องในปลาซัมมะมีรสขมนิดหน่อย สามารถกินได้ไม่ต้องทิ้ง ความขมของไส้ปลาซัมมะนั้นขมประมาณไส้ปลาทู ถ้ากินพุงปลาทูได้ก็กินพุงซัมมะได้หายห่วง
คนญี่ปุ่นนิยมเสริ์ฟซัมมะย่างเกลือกับหัวไชเท้าขูด และซีอิ้ว แต่การบีบนํ้าเลมอนลงไปก่อนกินก็ฮิตเหมือนกัน สว่นคนโอซาก้ามักจะราดซีอิ้วเน้นๆ ลงไปที่ปลาเลย ไม่เคยแต่คิดว่าน่าจะเค็มเกิน จริง ๆ ก็แล้วแต่ซีอิ้วที่ใช้ด้วยนะคะ
ลองทำกันดูนะคะ
โซเมน (Somen) เป็นอาหารประเภทเส้นที่ทำจากแป้งสาลี โดยวิธีการทำเส้นโซเมนนั้นคล้ายกับอุด้ง คือมีการนวดแป้ง กับนํ้าและเกลือ แล้วดึงแป้งให้เป็นเส้นยาว คล้ายๆ กับการทำบะหมีเส้นสด เส้นโซเมนมีขนาดเล็กมาก เส้นผาศุูนย์กลางประมาณ 1-2 มล. เท่านั้น และเนื่องจากทำจากแป้งสาลีเส้นโซเมนจะมีความนุ่มเหนียวคล้ายกับขนมจีนเส้นสดของไทย (อันนี้ความเห็นส่วนตัว )
ช่วงนี้อากาศที่โตเกียวเริ่มเย็นลง ฝนตกบ่อยมากๆ รู้สึกได้ว่าหน้าร้อนมหาโหดกำลังค่อยๆ เดินทางจากไปอีกหนึ่งครั้ง และฤดูใบไม้ร่วงอันหนาวเย็นก็เดินทางเข้ามาแทนที่พร้อมๆ กับสายฝนที่ร่วงลงมาไม่เว้นแต่ละวัน ต๊ะชอบอากาศช่วงนี้มาก ถ้าไม่มีธุระจะต้องออกไปไหนละก็ ต๊ะก็จะหมกตัวอยู่ในบ้าน ซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มอุ่นๆ มีชาร้อนหอมกรุ่นสักถ้วย และหนังสือที่ถูกใจสักเล่ม แค่นี้ก็สุขล้น และไม่ต้องการอะไรอีก
แต่พอฝนตกบ่อยก็ต้องทำอาหารบ่อยมากขึ้น จากที่ทำแทบทุกมื้อ ก็กลายเป็นทำตลอดเวลาเอาเข้าจริงๆ จับตะหลิว ยกกระทะทั้งวันก็เหนื่อยเหมือนกันนะ
เอาล่ะค่ะมาพูดถึงอาหารวันนี้ดีกว่า แฮมเบอร์เกอร์สไตล์ญี่ปุ่น หรือที่คนญี่ปุ่นเรียกกันว่า Hambāgu (ハンバーグ), Hamburg Steak เป็นเนื้อวัวบด ปรุงรสด้วยโชยุ ซอสมะเขือเทศ แล้วเอาไปทอดให้เกรียม ราดซอสรสเข้ม เป็นอาหารญี่ปุ่นฟิวชั่น ยอดฮิตอีกหนึ่งอย่างที่นิยมทำกินกันในครอบครัว ทำง่าย ใช้เครื่องปรุงไม่กี่อย่าง ทำเสร็จจะกินกับข้าวสวยร้อนๆ ก็อร่อย จะทำใส่เบนโตะก็อร่อยได้ในแบบเย็น ๆ จะว่าไปแล้วแฮมเบอร์เกอร์สไตล์ญี่ปุ่นนี้เป็นของชอบของซาดาโอะอย่างหนึ่งเหมือนกันค่ะ
นานๆ ทีทำอาหารเอาใจสามีก็ดีเหมือนกันนะ
เอาล่ะค่ะตามมาดูสูตรแฮมเบอรเกอร์สไตล์ญี่ปุ่นที่ต๊ะทำกินกับซาดาโอะ และโคชิดีกว่า...อร่อยน้า
แฮมเบอร์เกอร์สไตล์ญี่ปุ่น
ส่วนผสม สำหรับ 4 ชิ้น : 45 นาที
เนื้อวัวสับ 250 กรัม
ไข่ไก่ 1 ฟอง
หอมใหญ่ 1/2 ลูก สับหยาบๆ
ricotta cheese 100 กรัม
เกล็ดขนมปัง (Panko)1/2 ถ้วย
ซอสมะเขือเทศ 1 ช้อนโต๊ะ
นํ้ามันหอย 1/2 ช้อนโต๊ะ
parsley สับ 1/2 ช้อนโต๊ะ
โชยุ 1/2 ช้อนโต๊ะ
พริกไทยดำ 8 เม็ดโขลกละเอียด
ส่วนผสมซอส
ไวน์แดง 50 มล.
ซอสมะเขือเทศ 2 ช้อนโต๊ะ
นํ้าเปล่า 25 มล.
ซอสทงคัตสึ 2 ช้อนโต๊ะ
demi-glace 2 ช้อนโต๊ะ
นํ้ามันพืชเล็กน้อยสำหรับทอดแฮมเบอร์เกอร์
วิธีทำ
1. ผัดหอมใหญ่กับนํ้ามันนิดหน่อย แล้วตักพักไว้นํ้ามันพืชเล็กน้อยสำหรับทอดแฮมเบอร์เกอร์
วิธีทำ
2. เทหอมใหญ่ลงในอ่างผสมพร้อมกับเครื่องปรุงอื่นๆ (ยกเว้นส่วนผสมซอส) นวดให้เหนียวนิดหน่อย
3. แบ่งส่วนผสมเป็น 4 ส่วนเท่าๆ กัน แล้วปั้นเป็นก้อนแบนๆ รีๆ เนื่องจากส่วนผสมค่อนข้างเหลว ปั้นเสร็จแล้วก็ต้องลงกระทะทอดเลยค่ะ
4. ทอดให้เกรียมทั้งสองด้าน (บางอันก็เกรียมไปนะเนี่ย น่าขายหน้าจัง) แล้วตักขึ้นพักไว้ ใช้ Paper Towel ซับนํ้ามันออก ไม่ต้องล้างกระทะ เทส่วนผสมซอสทั้งหมดลงไป เอาแฮมเบอร์เกอร์ใส่ลงไป ปิดฝาประมาณ 7 นาที ซอสจะข้นขึ้น พร้อมเสิร์ฟแล้วค่ะ
ลองทำกันดูนะคะ